การประเมิน Blog
..เกณฑ์การประเมินดังนี้...
>เนื้อหาเกี่ยวกับ...
เนื่องจากบล็อกนี้เป็นบล็อกของคนรักดอกไม้ เนื้อหาของบล็อกจึงเกี่ยวกับดอกไม้ชนิดต่างๆ
ที่ผู้นำเสนอจะเสนอเนื้อหาทั้งประวัติความเป็นมา ตำนาน เรื่องเล่า ลักษณะทั่วไป การปลูก
การดูแลรักษา ตลอดจนบอกเล่าประสบการณ์ของผู้นำเสนอที่เกี่ยวข้องกับดอกไม้ชนิดนั้น
ซึ่งจะมีทั้งแง่วิชาการและความบันเทิง
>>วัตถุประสงค์/เป้าหมาย ...
เพื่อเป็นการนำเสนอและเผยแพร่ข้อมูล ความรู้ เกี่ยวกับดอกไม้ชนิดต่างๆ
ให้บุคคลทั่วไปหรือผู้ที่สนใจ ได้ศึกษาและรับทราบข้อมูล
เป็นอีกทางเลือกหนึ่งในการค้นคว้าข้อมูล
รวมถึงเป็นแรงบันดาลใจให้คนหันมาสนใจปลูกดอกไม้มากขึ้น
>>>เนื้อหาเป็นประโยชน์ (ให้คะแนน 0-5) ...
สามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้จริง เช่นการปลูกและการดูแลรักษาดอกไม้ คะแนน 5 คะแนน
>>>>ความน่าสนใจ (0-5) ...
ความน่าสนใจ มีการนำเสนอโดยใช้เรื่องเล่าสอดแทรกด้วยประสบการณ์
ความรู้สึกนึกคิดของตัวผู้นำเสนอ ควบคู่กับข้อมูลทางวิชาการ
และมีรูปภาพที่ชัดเจน สวยงาม คะแนน 5 คะแนน
>>>>>ความทันสมัย (0-5) ...
ปัจจุบัน คนเริ่มหันมาให้ความสำคัญและสนใจที่จะปลูกต้นไม้ ดอกไม้มากขึ้น
เนื่องจากมีกระแสภาวะโลกร้อน ดังนั้นการนำเสนอการปลูกดอกไม้ชนิดต่างๆ
ถือว่ามีความทันสมัยกับสภาวะปัจจุบัน คะแนน 5 คะแนน
>>>>>>การออกแบบ/ความสวยงาม (0-5) ...
มีtemplate ที่เกี่ยวข้อง เหมาะสมกับตัวเนื้อหาที่นำเสนอ
การจัดทำเนื้อหามีความลงตัว การใช้สีตัวอักษรมีความสวยงาม
รูปภาพที่ใช้ประกอบการนำเสนอมีความคมชัด ขนาดพอเหมาะ คะแนน 4 คะแนน
>>>>>>ความเรียบง่าย(อ่านง่าย เข้าใจง่าย)(0-5) ...
การจัดรูปแบบการนำเสนอเนื้อหามีความลงตัว มีการเว้นวรรคและย่อหน้าในแต่ละประเด็น
การใช้สีตัวอักษรแยกแต่ละประเด็น เพื่อให้อ่านง่าย ไม่ลายตา ตัวหนังสือเรียบง่าย
แทรกด้วยรูปภาพเป็นช่วงๆ ทำให้ได้พักสายตาจากการอ่าน คะแนน 5 คะแนน
รวม 24 คะแนน
----
ครั้งล่าสุด ที่เข้าไปเรียนที่คณะ
เพิ่งสังเกตเห็นว่า ทานตะวันริมรั้ว หายไป
มีเพื่อนบอกว่า มันตายเพราะแดดไม่พอ
แต่จากการใช้สายตามองบริเวณพื้นที่เกิดเหตุ
คาดว่า คงถูกถอนออกไป
สงสารทานตะวัน
หรือความจริงมันจะอาจจะตายไปเอง แล้วพี่ๆคนดูแลสวน เลยมารื้อออกก็เป็นได้
แล้วต่อไปนี้ จะคอยชื่นชมความงามของทานตะวันได้จากที่ไหน
รูปภาพงั้นซิ??
สำหรับวันนี้
ดอกไม้ที่จะพูดถึง เป็นดอกไม้ที่เรานำมาใช้ประโยชน์ในเรื่องการเย็บปักถักร้อยดอกไม้สด
และงานใบตอง เมื่อสองอาทิตย์ที่ผ่านมา
เป็นงานไหว้ครูของมหาวิทยาลัย ได้เดินชมพานที่ส่งเข้าประกวดของแต่ละคณะ
บานมิรู้โรย...เป็นอีกส่วนประกอบหนึ่งของพานเหล่านั้น
ทำให้นึกถึงวันวาน สมัยมัธยม
ช่วงลอยกระทง เคยได้ร่วมลงมือลงแรงช่วยเด็ดกลีบเลี้ยงดอกบานไม่รู้โรย
ถึงแม้จะเป็นแค่หน้าที่ที่ไม่สำคัญหรือเป็นแค่ส่วนประกอบเล็กน้อย
แต่ก็รู้สึกภูมิใจทุกครั้ง เมื่อกระทงของทางร.ร.ชนะเลิศรางวัล
เช่นกัน
ถึงแม้พานของคณะแพทย์จะไม่มีดอกบานไม่รู้โรยรวมอยู่ด้วย
แต่การที่ได้เป็นส่วนหนึ่งในการลงมือทำ
ก็นำความภาคภูมิใจมาบังเกิดขึ้น
ชนะเลิศที่ 1 เป็นของพวกเราทุกคน ...^ ^
สมกับการนอนบนเก้าอี้หน้าห้องตรวจให้ยุงกัด > < (แอบโปรโมตพานคณะตัวเองนิดนึง)
ดอกบานไม่รู้โรย
ชื่อวิทยาศาสตร์ Gomphrena globosa Linn.
วงศ์ AMARANTHACEAE
ชื่อสามัญ Bachalor's Button,Button Agaga,Globe Amaranth,Pearly Everlasting
ชื่ออื่นๆ กะล่อม ตะล่อม (ภาคเหนือ) ดอกสามเดือน กุนหยี (ภาคใต้)
ลักษณะทั่วไป
บานไม่รู้โรยจัดเป็นไม้ล้มลุก
ใบเป็นใบเดี่ยว ลักษณะรูปใบหอก รูปขอบขนานหรือรูปขอบขนานแกมรูปรี ปลายแหลม โคนมน มีขนอยู่ทั้งสองด้าน
ดอก มีหลายสี เช่น สีชมพู ม่วง แดง ส้ม และขาว ออกดอกเดี่ยวขนาดเล็กกลม
กลีบดอกแข็งเล็ก จัดเรียงตัวรวมกันอยู่อย่างหนาแน่น ออกดอกตลอดปี
ดอกมีประโยชน์ใช้ประดับตกแต่งในพิธีการต่างๆมากมาย นิยมนำมาจัดพานพุ่ม
เนื่องจากเป็นไม้ดอกที่ทนทาน อยู่ได้นานหลายวัน มีขายอยู่ตลอด
ทนต่อความร้อน ความแห้งแล้งได้ดี จึงเป็นดอกไม้ที่ปลูกง่ายและปลูกในดินชนิดใดก็งอก
สำหรับการขยายพันธุ์ นิยมขยายพันธุ์ด้วยวิธีการเพาะเมล็ด ซึ่งง่าย สะดวก รวดเร็ว
นอกจากดอกที่บานและคงทนแล้ว
ดอกบานไม่รู้โรยมีความพิเศษ คือมีสรรพคุณทางยา ดังนี้
1. แก้ตกขาว ใช้บานไม่รู้โรยดอกขาวทั้งต้นและราก ๑ กำมือ ต้ม ผสมกับหัวยา ข้าวเย็น ขนาดเท่าลูกเงาะ ๔ ก้อน
ต้มให้เดือดนาน ๑๐ นาที กินต่างน้ำ กิน ๒ หม้อ
2. ขับปัสสาวะ ใช้ดอกบานไม่รู้โรย ๑๐ ดอก ใส่น้ำ ๑ แก้ว ต้มเดือดนาน ๑๕ นาที ระวังอย่าให้ไฟแรงจนเกินไป ต้มจนเหลือน้ำ ครึ่งแก้ว กินให้หมด ต้มกินวันละ ๓-๔ ครั้ง
3. ประจำเดือนไม่ปกติ ใช้ต้นบานไม่รู้โรยดอก ขาว ทั้ง ๕ ต้มกินเสมอ เป็นยาขับล้างโลหิตให้บริสุทธิ์
4. แก้นิ่วในกระเพาะปัสสาวะ ให้เอารากต้นบานไม่รู้โรยดอก ขาว ประมาณ ๑ กำมือ กับรากต้นมะละกอตัวผู้ ๑ กำมือ
ตัวยาทั้ง ๒ อย่างนี้ นำมาล้างน้ำให้สะอาด สับเป็นท่อนๆ ใส่หม้อดิน ใส่น้ำ ๓ ส่วน ต้มเคี่ยวให้เหลือ ๑ ส่วน
ใช้น้ำยากินเพียงครั้งเดียว ได้ผลยิ่งนัก
5. แก้บิด ใช้ดอกบานไม่รู้โรย ๑๐ ดอก ต้มน้ำผสมเหล้าเล็กน้อย กินวันละ ๓ ครั้ง แก้บิด
7. แก้หนอนคัน คันมาก ผิวหนังเน่าเปื่อยเป็นแผลเพราะถูก ตัว หนอน ให้เอาบานไม่รู้โรยตำกับปูนกินหมาก
ผสมน้ำเล็กน้อย ทาตรง แผลเปื่อย จะหาย หรือบริเวณที่คัน
8. แก้หอบหืด และหลอดลมอักเสบ ใช้ดอกทำเป็นยาเม็ด แต่ละ เม้ดเป็นดอกแห้งใหม่ๆ หนัก ๓.๒ กรัม ให้กินครั้งละ ๒ เม็ด วันละ ๓ เวลา กินติดต่อกัน ๑๐ วัน กิน ๑๐ วัน คิดเป็น ๑ รอบ ให้กินติดต่อกัน ๒ รอบ อาการจะดีขึ้น แต่ถ้าใช้ทั้งต้น ไม่รวมช่อดอก ทำเป็นยาเม็ด ละ ๓.๒ กรัม ให้กินครั้งละ ๓ เม็ด วันละ ๓ เวลา และรักษาเป็นรอบ เหมือน ช่อดอก ผลการรักษาดีขึ้น ใช้แก้หอบหืดทีเกิดจากหลอดลม อักเสบได้ดี
10. ขับเสมหะ มีตัวยา ฟิลาโนน มีฤทธิ์ขับเสมหะในลำคอ สารตัวนี้ ละลายได้ดีในแอลกอฮอล์
11. แก้หอบหืด ใช้ดอกบานไม่รู้โรย ๑๐ ดอก ผสมเหล้าขาว กินวัน ละ ๓ ครั้ง
ถือว่าเป็นดอกไม้อีกพวกหนึ่ง ที่มีประโยชน์มากมายจริงๆ
ว่ากันว่า
ดอกบานไม่รู้โรยถูกเปรียบเสมือน...
ความรักที่มั่นคง เนานาน ไม่มีวันสูญสิ้น
ถึงแม้ตัวดอกจะไร้ซึ่งกลิ่น แต่ความเบ่งบาน ความคงทน
ดังเช่น..ความรักที่จะ มั่นคง ดำรงอยู่ ไม่เปลี่ยนแปลง ไม่ห่างหาย แม้ยามห่างไกล
จะจริงหรือเปล่า??
อันนี้ คงต้องขึ้นกับหัวใจคนแล้วล่ะมั้ง..

1. ความเรียบง่าย: จัดทำสไลด์ให้ดูเรียบง่ายที่สุดเท่าที่ทำได้ เช่น ใช้สีอ่อนเป็นพื้นหลังเพื่อไม่รบกวนสายตาในการอ่าน และสามารถเห็นเนื้อหาได้อย่างชัดเจน หรือใช้พื้นหลังตามลักษณะเนื้อหา
2. มีความคงตัว (consistent): เป็นสิ่งสำคัญที่สุดในการนำเสนอสไลด์ซึ่งเป็นเนื้อหาในเรื่องเดียวกัน คือ ต้องมีความคงตัวในการออกแบบสไลด์ ซึ่งหมายถึงต้องใช้รูปแบบสไลด์เดียวกันทุกแผ่นที่เกี่ยวกับเนื้อหานั้น โดยไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนสี พื้นหลัง หรือขนาดและแบบตัวอักษร แต่หากต้องการเน้นจุดสำคัญ หรือเป็นเนื้อหาย่อยออกไปจะสามารถเปลี่ยนบางสิ่ง เช่น สีตัวอักษรในสไลด์ให้ดูแตกต่างไปได้บ้าง หรืออาจมีการเปลี่ยนสีพื้นหลังให้แตกต่างจากเนื้อหาสักเล็กน้อยก็อาจทำได้เช่นกัน
3. ใช้ความสมดุล: การออกแบบส่วนประกอบของสไลด์ให้มีลักษณะสมดุลมีแบบแผน (formal balance) หรือสมดุลไม่มีแบบแผน (informal balance) ก็ได้ แต่ต้องระวังสไลด์ทุกแผ่นให้มีลักษณะของความสมดุลที่เลือกใช้ให้เหมือนกันเพื่อความคงตัว
4. มีแนวคิดเดียวในสไลด์แต่ละแผ่น: ข้อความ และภาพที่บรรจุในสไลด์แผ่นหนึ่งๆ ต้องเป็นเนื้อหาของแต่ละแนวคิดเท่านั้น หากเนื้อหานั้นมีหลายแนวคิด หรือเนื้อหาย่อยต้องใช้สไลด์แผ่นใหม่
5. สร้างความกลมกลืน: ใช้แบบอักษรและภาพกราฟิกให้เหมาะสมกับลักษณะของเนื้อหา ใช้แบบอักษรที่อ่านง่าย และใช้สีที่ดูแล้วสบายตา เลือกภาพกราฟิกที่ไม่ซับซ้อน และให้ถูกต้องตรงตามเนื้อหา รวมถึงให้เหมาะสมกับเนื้อหาที่เป็นทางการ หรือไม่เป็นทางการด้วย
6. แบบอักษร: ไม่ใช้อักษรมากกว่า 2 แบบในสไลด์เรื่องหนึ่ง โดยใช้แบบหนึ่งเป็นหัวข้อ และอีกแบบหนึ่งเป็นเนื้อหา หากต้องการเน้นข้อความตอนใดให้ใช้ตัวหนา (bold) หรือตัวเอน (italic) แทนเพื่อการแบ่งแยกให้เห็นความแตกต่าง
7. เนื้อหา และจุดนำข้อความ: ข้อความในสไลด์ควรเป็นเฉพาะหัวข้อ หรือเนื้อหาสำคัญเท่านั้น โดยไม่มีรายละเอียดของเนื้อหา และควรนำเสนอเป็นแต่ละย่อหน้า โดยอาจมีจุดนำข้อความอยู่ข้างหน้า เพื่อแสดงให้ทราบถึงเนื้อหาแต่ละประเด็น และไม่ควรมีจุดนำข้อความมากกว่า 4 จุดในสไลด์แผ่นหนึ่ง โดยสามารถใช้ต้นแบบสไลด์ที่มีจุดนำข้อความใน Auto Layout เพื่อเพิ่มจุดนำข้อความให้ปรากฏขึ้นหน้าข้อความแต่ละครั้งเพื่อดึงดูดความสนใจของผู้รับฟังการนำเสนอ อาจจะใช้การจางข้อความ (dim body text) ในข้อความที่บรรยายไปแล้วเพื่อให้มีเฉพาะจุดนำข้อความ และเนื้อหาที่กำลังนำเสนอเท่านั้นปรากฏแก่สายตา
8. เลือกใช้กราฟิกอย่างระมัดระวัง: การใช้กราฟิกที่เหมาะสมจะสามารถเพิ่มการเรียนรู้ได้อย่างมีประสิทธิผล แต่หากใช้กราฟิกที่ไม่เหมาะสมกับเนื้อหาจะทำให้การเรียนรู้นั้นลดลง และอาจทำให้สื่อความหมายผิดไปได้
9. ความคมชัด (resolution) ของภาพ: เนื่องจากความคมชัดของจอมอนิเตอร์มีเพียง 72-96 DPI เท่านั้น ภาพกราฟิกที่นำเสนอประกอบในเนื้อหาจึงไม่จำเป็นต้องใช้ภาพที่มีความคมชัดสูงมาก ควรใช้ภาพในรูปแบบ JPEG ที่มีความคมชัดปานกลาง และขนาดไม่ใหญ่มากนัก ประมาณ 20-50 KB ซึ่งท่านควรทำการบีบอัด หรือcompress และลดขนาดภาพก่อนเพื่อไม่ให้เปลืองเนื้อที่ในการเก็บบันทึก และการจัดส่งไฟล์ผ่านไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ (e- mail) หรือการอัพโหลดไว้บนเว็บไซต์จะสามารถทำได้ไวยิ่งขึ้น
10. เลือกต้นแบบสไลด์ และแบบอักษรที่เหมาะสมกับอุปกรณ์ร่วม: เนื่องจากการนำเสนอต้องมีการเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์เข้ากับอุปกรณ์ร่วม เช่น เครื่องแอลซีดี หรือโทรทัศน์เพื่อเสนอข้อมูลขยายใหญ่บนจอภาพ ดังนั้น ก่อนการนำเสนอควรทำการทดลองก่อนเพื่อให้ได้ภาพบนจอภาพที่ถูกต้องเหมาะสม เพราะว่าเมื่อฉายแล้วเสี้ยวซ้ายของสไลด์จะไม่ปรากฏให้เห็นตามหลักของอัตราส่วน
------------------------------------------------------------------------
หลักการออกแบบและพัฒนาการนำเสนองานผ่านเว็บ ..
1. ความเรียบง่าย (Simplicity) หมายถึง การจำกัดองค์ประกอบเสริมให้เหลือเฉพาะองค์ประกอบหลัก กล่าวคือในการสื่อสารเนื้อหากับผู้ใช้นั้น เราต้องเลือกเสนอสิ่งที่เราต้องการนำเสนอจริง ๆ ออกมาในส่วนของกราฟิก สีสัน ตัวอักษรและภาพเคลื่อนไหว ต้องเลือกให้พอเหมาะ ถ้าหากมีมากเกินไปจะรบกวนสายตาและสร้างความคำราญต่อผู้ใช้ตัวอย่างเว็บไซต์ที่ได้รับการออกแบบที่ดี ได้แก่ เว็บไซต์ของบริษัทใหญ่ ๆ อย่างเช่น Apple Adobe Microsoft หรือ Kokia ที่มีการออกแบบเว็บไซต์ในรูปแบบที่เรียบง่าย ไม่ซับซ้อน และใช้งานอย่างสะดวก
2. ความสม่ำเสมอ ( Consistency) หมายถึง การสร้างความสม่ำเสมอให้เกิดขึ้นตลอดทั้งเว็บไซต์ โดยอาจเลือกใช้รูปแบบเดียวกันตลอดทั้งเว็บไซต์ก็ได้ เพราะถ้าหากว่าแต่ละหน้าในเว็บไซต์นั้นมีความแตกต่างกันมากจนเกินไป อาจทำให้ผู้ใช้เกิดความสับสนและไม่แน่ใจว่ากำลังอยู่ในเว็บไซต์เดิมหรือไม่ เพราะฉะนั้นการออกแบบเว็บไซต์ในแต่ละหน้าควรที่จะมีรูปแบบ สไตล์ของกราฟิก ระบบเนวิเกชั่น (Navigation) และโทนสีที่มีความคล้ายคลึงกันตลอดทั้งเว็บไซต์
3. ความเป็นเอกลักษณ์ (Identity) ในการออกแบบเว็บไซต์ต้องคำนึงถึงลักษณะขององค์กรเป็นหลัก เนื่องจากเว็บไซต์จะสะท้อนถึงเอกลักษณ์และลักษณะขององค์กร การเลือกใช้ตัวอักษร ชุดสี รูปภาพหรือกราฟิก จะมีผลต่อรูปแบบของเว็บไซต์เป็นอย่างมาก ตัวอย่างเช่น ถ้าเราต้องออกแบบเว็บไซต์ของธนาคารแต่เรากลับเลือกสีสันและกราฟิกมากมาย อาจทำให้ผู้ใช้คิดว่าเป็นเว็บไซต์ของสวนสนุกซึ่งส่งผลต่อความเชื่อถือขององค์กรได้
4. เนื้อหา (Useful Content) ถือเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในเว็บไซต์ เนื้อหาในเว็บไซต์ต้องสมบูรณ์และได้รับการปรับปรุงพัฒนาให้ทันสมัยอยู่เสมอ ผู้พัฒนาต้องเตรียมข้อมูลและเนื้อหาที่ผู้ใช้ต้องการให้ถูกต้องและสมบูรณ์ เนื้อหาที่สำคัญที่สุดคือเนื้อหาที่ทีมผู้พัฒนาสร้างสรรค์ขึ้นมาเอง และไม่ไปซ้ำกับเว็บอื่น เพราะจะถือเป็นสิ่งที่ดึงดูดผู้ใช้ให้เข้ามาเว็บไซต์ได้เสมอ แต่ถ้าเป็นเว็บที่ลิงค์ข้อมูลจากเว็บอื่น ๆ มาเมื่อใดก็ตามที่ผู้ใช้ทราบว่า ข้อมูลนั้นมาจากเว็บใด ผู้ใช้ก็ไม่จำเป็นต้องกลับมาใช้งานลิงค์เหล่านั้นอีก
5. ระบบเนวิเกชั่น (User-Friendly Navigation) เป็นส่วนประกอบที่มีความสำคัญต่อเว็บไซต์มาก เพราะจะช่วยไม่ให้ผู้ใช้เกิดความสับสนระหว่างดูเว็บไซต์ ระบบเนวิเกชั่นจึงเปรียบเสมือนป้ายบอกทาง ดังนั้นการออกแบบเนวิเกชั่น จึงควรให้เข้าใจง่าย ใช้งานได้สะดวก ถ้ามีการใช้กราฟิกก็ควรสื่อความหมาย ตำแหน่งของการวางเนวิเกชั่นก็ควรวางให้สม่ำเสมอ เช่น อยู่ตำแหน่งบนสุดของทุกหน้าเป็นต้น ซึ่งถ้าจะให้ดีเมื่อมีเนวิเกชั่นที่เป็นกราฟิกก็ควรเพิ่มระบบเนวิเกชั่นที่เป็นตัวอักษรไว้ส่วนล่างด้วย เพื่อช่วยอำนวยความสะดวกให้กับผู้ใช้ที่ยกเลิกการแสดงผลภาพกราฟิกบนเว็บเบราเซอร์
6. คุณภาพของสิ่งที่ปรากฏให้เห็นในเว็บไซต์ (Visual Appeal) ลักษณะที่น่าสนใจของเว็บไซต์นั้น ขึ้นอยู่กับความชอบส่วนบุคคลเป็นสำคัญ แต่โดยรวมแล้วก็สามารถสรุปได้ว่าเว็บไซต์ที่น่าสนใจนั้นส่วนประกอบต่าง ๆ ควรมีคุณภาพ เช่น กราฟิกควรสมบูรณ์ไม่มีรอยหรือขอบขั้นบันได้ให้เห็น ชนิดตัวอักษรอ่านง่ายสบายตา มีการเลือกใช้โทนสีที่เข้ากันอย่างสวยงาม เป็นต้น
7. ความสะดวกของการใช้ในสภาพต่าง ๆ (Compatibility) การใช้งานของเว็บไซต์นั้นไม่ควรมีขอบจำกัด กล่าวคือ ต้องสามารถใช้งานได้ดีในสภาพแวดล้อมที่หลากหลาย ไม่มีการบังคับให้ผู้ใช้ต้องติดตั้งโปรแกรมอื่นใดเพิ่มเติม นอกเหนือจากเว็บบราวเซอร์ ควรเป็นเว็บที่แสดงผลได้ดีในทุกระบบปฏิบัติการ สามารถแสดงผลได้ในทุกความละเอียดหน้าจอ ซึ่งหากเป็นเว็บไซต์ที่มีผู้ใช้บริการมากและกลุ่มเป้าหมายหลากหลายควรให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ให้มาก
8. ความคงที่ในการออกแบบ (Design Stability) ถ้าต้องการให้ผู้ใช้งานรู้สึกว่าเว็บไซต์มีคุณภาพ ถูกต้อง และเชื่อถือได้ ควรให้ความสำคัญกับการออกแบบเว็บไซต์เป็นอย่างมาก ต้องออกแบบวางแผนและเรียบเรียงเนื้อหาอย่างรอบคอบ ถ้าเว็บที่จัดทำขึ้นอย่างลวก ๆ ไม่มีมาตรฐานการออกแบบและระบบการจัดการข้อมูล ถ้ามีปัญหามากขึ้นอาจส่งผลให้เกิดปัญหาและทำให้ผู้ใช้หมดความเชื่อถือ
9. ความคงที่ของการทำงาน (Function Stability) ระบบการทำงานต่าง ๆ ในเว็บไซต์ควรมีความถูกต้องแน่นอน ซึ่งต้องได้รับการออกแบบสร้างสรรค์และตรวจสอบอยู่เสมอ ตัวอย่างเช่น ลิงค์ต่าง ๆ ในเว็บไซต์ ต้องตรวจสอบว่ายังสามารถลิงค์ข้อมูลได้ถูกต้องหรือไม่ เพราะเว็บไซต์อื่นอาจมีการเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา ปัญหาที่เกิดจากลิงค์ ก็คือ ลิงค์ขาด ซึ่งพบได้บ่อยเป็นปัญหาที่สร้างความรำคาญกับผู้ใช้เป็นอย่างมาก
-------------------------------------------------------------------------------------------
ด อ ก บั ว ยังสะท้อนให้เห็นถึงปรัชญาการดำเนินชีวิต
ว่า แม้จะเกิดอยู่ในโคลนตม แต่เมื่อโผล่พ้นน้ำขึ้นมารับแสงแล้ว
กลีบดอกกลับสะอาดบริสุทธิ์ ไม่มีสิ่งใดแปดเปื้อน
เสมือนกับคนที่เกิดมาแล้ว หากเข้าถึงหลักธรรม..
ลักษณะทั่วไปของบัว
บัวเป็นพรรณไม้น้ำประเภทพืชล้มลุก มีลำต้นและหัวอยู่ในดิน ใต้น้ำ
ชนิดของบัวที่นิยมปลูกเป็นไม้มงล
1. บัวหลวง
หรือดอกบัวที่ใช้จัดแจกันบูชาพระ มีดอกและใบชูขึ้นเหนือน้ำ
ใบสีเขียวนวลค่อนข้างกลม ขอบใบเรียบ ผิวด้านบนมีขนอ่อนๆ และนวล
1.3 สัตตบงกช ผู้ปลูกเรียก "บัวฉัตรแดง" หรือ "บัวป้อมแดง" ดอกป้อมสีชมพู กลีบดอกซ้อนมาก
2. บัวฝรั่ง
มีถิ่นกำเนิดในเขตอบอุ่นและเขตหนาว จึงเรียกบัวฝรั่ง มีหลายชนิดและพันธุ์
ลักษณะเฉพาะคือ ใบกลม ขอบใบเรียบ ดอกลอยหรือ ชูพ้นน้ำเล็กน้อย
3.4 บัวเผื่อน ดอกเล็กสีขาว ปลายกลีบดอกสีครามอ่อน แล้วเผื่อนเป็นสีขาวหรือปลายกลีบเป็นสีชมพูเมื่อ ใกล้โรย
4. บัวสาย


















