คราวที่แล้ว พูดถึงดอกแก้ว..
วันนี้จะมานำเสนอต้นไม้อีกต้นที่ชอบเหมือนกัน
'ท า น ต ะ วั น' เหตุผลที่ชอบ...
เพราะชอบความหมายของมันมาก และชอบที่ตัวดอกใหญ่และมีสีเหลือง
มองดูแล้วสดใส ร่าเริง มีชีวิตชีวา ^ ^
มีหนังสือเล่มหนึ่ง ที่เขียนโดย ว.วินิจฉัยกุล กล่าวถึงทานตะวันว่า..
“ ทำตัว อย่างดอกทานตะวัน ดอกไม้อื่นกลัวความร้อน มันจะเหี่ยวเฉาเมื่อกระทบแดด
ทานตะวันเป็นดอกไม้ชนิดเดียวที่สู้แดด ไม่เคยหนี มันจะหันตามตะวันตลอดวัน
เหมือนคนที่ไม่กลัวความยากลำบาก" ความหมายดีมากเลยใช่ไหม
และทุกครั้งที่เห็นดอกทานตะวัน จะทำให้มีความรู้สึกที่อยากจะต่อสู้กับสิ่งต่างๆที่กำลังเผชิญ
ทำให้มีกำลังใจ มีความมุ่งมั่น ที่จะทำอะไรให้ประสบความสำเร็จ
ไม่ว่าจะเป็นการเรียน การใช้ชีวิต หรือแม้กระทั่งความรัก
ว่ากันว่า ดอกทานตะวัน เป็น'ดอกไม้แห่งความซื่อสัตย์ ' ดังตำนานของดอกทานตะวัน(ตำนานกรีก)...
..มีเทพธิดาองค์หนึ่ง ชื่อ ไ ค ล ที ธิดาของเทพไตตันโอเชียนัสกับเทวีธีทิส
อาศัยอยู่ในถ้ำใต้ทะเลลึก ไม่เคยขึ้นมาบนฝั่ง
เทพธิดาได้อยู่อาศัยอย่างเป็นสุขสงบเรื่อยมา จนเติบโตเป็นสาวน้อย
อยู่มากระทั่งวันหนึ่ง เกิดพายุพัดกระหน่ำมาอย่างรุนแรง
พายุได้พัดพาสิ่งต่าง ๆ ที่อยู่ใต้ขึ้นมาข้างบน
ซึ่งไคลทีก็เป็นหนึ่งในนั้นด้วย เมื่อไคลทีถูกคลื่นทะเลซัดขึ้นมาถึงฝั่ง ก็ฟื้นคืนสติ
ก็มองเห็นแสงแดด พืชพันธุ์ไม้ต่าง ๆ และสิ่งที่สวยงามที่สุด ก็คือ แ ส ง ตะ วั น ที่สาดส่อง
ไคลทีที่เพิ่งมีโอกาสเห็นแสงอาทิตย์เป็นครั้งแรก
ก็..เกิดหลงรักในพระอาทิตย์ขึ้นมา พระอาทิตย์ก็คือ เทพอพอลโล
ทุก ๆวันไคลทีจะเฝ้ามอง ดูความงดงามของพระอาทิตย์ วันแล้ว วันเล่า

จนกระทั่งเทวดาสงสารนาง เพราะเทพอพอลโลไม่เคยเหลียวแล จึงช่วยกันบันดาลให้
ไคลทีที่ยืนมองตะวัน มีเท้าที่หยั่งลึกลงไปในดิน เครื่องแต่งกายเปลี่ยนไปเป็นสีเขียว
ผมสีทองกลายเป็นสีเหลือง ล้อมดวงหน้าไว้ แล้วดวงตาเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาล
กลายเป็น ด อ ก ทา น ต ะ วั น ที่สวยงาม ที่เฝ้ามองตามพระอาทิตย์ ขึ้นลงข้ามขอบฟ้าในทุก ๆวัน..

นี่คงจะเป็นอีกที่มาของอีกความหมายหนึ่งของดอกทานตะวัน
ลักษณะทั่วไป
แนะนำสถานที่ท่องเที่ยว...ทุ่งดอกทานตะวัน
.........
...........
ส่วนตัวเป็นคนที่ชอบดอกไม้และต้นไม้ โดยได้รับการปลูกฝังให้รักธรรมชาติและความสวยงามของต้นไม้
เพราะที่บ้านคุณแม่ชอบปลูกต้นไม้ แม้จะมีพื้นที่เป็นเพียงสวนเล็กๆ
ดอกไม้ที่ชอบเป็นพิเศษก็มีอยู่หลายต้น เช่น แก้ว กุหลาบ มะลิ ทานตะวัน
แต่ถ้าพูดถึงที่ชอบที่สุดคงจะเป็น"ดอกแก้ว"

สมัยเด็กๆ ยังจำได้ว่า...เคยไปทำบุญที่..วัดป่าบ้านเปลือย..ซึ่งเป็นวัดที่ร่มรื่นมาก มีลมพัดเย็นสบาย
และแน่นอนว่าบริเวณวัดต้องมีดอกไม้และต้นไม้นานาชนิด
ตอนนั้นจำได้ว่า ตั้งแต่ลงจากรถ ก็ได้กลิ่นหอมของดอกไม้ที่ถูกลมพัดมาสัมผัสจมูก
ซึ่งกลิ่นนั้นหอมอบอวลทั่วบริเวณศาลา เลยเดินตามหาว่ามันเป็นกลิ่นของต้นอะไร
ที่สองข้างทางเดินเข้าในศาลา พบต้นไม้มีลักษณะเป็นพุ่มยืนต้นมีกลุ่มดอกสีขาวตัดกับใบสีเขียวสด
แม่บอกว่า ชื่อของมันคือ ด อ ก แ ก้ ว เป็นครั้งแรกที่รู้จักดอกแก้ว
รู้สึกประทับใจในกลิ่นและสีขาวของดอกเพราะดูบริสุทธิ์ สะอาด และแลดูมีคุณค่า

กลับจากวัดวันนั้น หลังรถก็มีกิ่งตอนของต้นแก้ว ที่คุณลุงช่วยเตรียมให้
เวลาผ่านไปไม่นาน และแล้วที่หน้าบ้านก็มีต้นแก้วที่ชูช่อสีขาวบริสุทธิ์ พร้อมด้วยกลิ่นหอมที่ชื่นใจทุกครั้งที่สัมผัส
ตอนนี้ที่หน้าบ้าน ถึงแม้จะไม่มีต้นแก้วแล้ว แต่ดอกแก้วก็ยังคงเป็นดอกไม้ที่รักและชอบมากที่สุด
คาดหวังเอาไว้ว่า สักวันจะปลูกต้นแก้ว พร้อมๆกับบ้านหลังใหม่ที่มีพื้นที่ในการทำสวนดอกไม้
แต่ที่จริงแล้ว ก็เคยแอบฝันอยากจะปลูกดอกไม้เป็นไร่ๆเหมือนกัน ^ ^
ดอกไม้หนึ่งในไร่ ก็คงจะมี แ ก้ ว รวมอยู่อย่างไม่ต้องสงสัย...
... แก้ว ...
พรรณไม้ยืนต้นขนาดเล็กถึงขนาดกลาง ลำต้นมีความสูงประมาณ5-10 เมตร
ช่อหนึ่งประกอบด้วยใบย่อยประมาณ 4-8 ใบ ใบเป็นมันสีเขียวเข้มขยี้ดูจะมีกลิ่นฉุนแรง
ออกดอกเป็นช่อใหญ่ ช่อสั้น ตามปลายกิ่งหรือยอด ช่อหนึ่งมีดอกประมาณ 5 - 10 ดอก
ผลรูปไข่ รีปลายทู่ มีสีส้ม ภายในมีเมล็ด 1 - 2 เมล็ด
โบราณเชื่อว่า บ้านใดปลูกต้นแก้วไว้ประจำบ้านจะทำให้คนในบ้านมีความดี มีคุณค่าสูง
เป็นที่นับถือบูชาของบุคคลทั่วไป เป็นคนที่มีจิตใจบริสุทธิ์ มีความเบิกบาน เพราะแก้วคือความใสสะอาด
และ แก้ว ก็หมายถึง สิ่งที่ดีมีค่าสูงดั่งดวงแก้ว
ดอกแก้วมีสีขาวสะอาด สดใส มีกลิ่นหอมนวลไปไกล
ตำแหน่งที่ปลูก
ควรปลูกต้นแก้วไว้ทางทิศตะวันออก และควรปลูกในวันพุธ
การปลูก
เพื่อประดับบริเวณบ้านและสวน คนไทยโบราณนิยมปลูกไว้เพื่อเป็นแนวรั้วบ้าน ขนาดหลุมปลูก 30 x 30 เซนติเมตร
ใช้ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมัก : ดินร่วน อัตรา 1 : 2 ผสมดินปลูก
การปลูกแบบนี้สามารถปลูกเป็นกลุ่มหรือเป็นแถวก็ได้ และสามารถตัดแต่งบังคับทรงพุ่มได้ตามความต้องการของผู้ปลูก
2. การปลูกในกระถางเพื่อประดับภายนอกอาคาร
ควรใช้กระถางทรงสูงขนาด 12 - 16 นิ้ว ใช้ปุ๋ยคอก หรือปุ๋ยหมัก : ดินร่วน อัตรา 1 : 1 ผสมดินปลูก
และควรเปลี่ยนกระถาง 1 - 2 ปี/ ครั้ง หรือตามความเหมาะสมของการเจริญเติบโตของทรงพุ่ม
เพราะการขยายตัวของรากแน่นเกินไปและเพื่อเปลี่ยนดินปลูกใหม่ทดแทนดินปลูกเดิมที่เสื่อมสภาพไป
การดูแลรักษา
แสง แสงแดดจัด หรือกลางแจ้ง
ปุ๋ย ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมัก อัตรา 1 - 2 กิโลกรัม/ต้น ใส่ปีละ 4 - 6 ครั้ง
หรือใช้ปุ๋ยวิทยาศาสตร์ สูตร 15-15-15 อัตรา 200- 300 กรัม/ต้น ใส่ปีละ 4 - 6 ครั้ง
ดิน ดินร่วนซุย ดินร่วนทราย
การขยายพันธุ์
การเพาะเมล็ดและการตอน
โรคและแมลง
ไม่ค่อยมีปัญหาเรื่องโรคและแมลง เพราะเป็นไม้ที่มีความทนทานต่อสภาพธรรมชาติพอสมควร

จีรนันท์ บริบูรณ์ แอมมี่ ^ ^''
ชั้นปี 1 คณะแพทยศาสตร์ สาขาแพทยศาสตรบัณฑิต
รหัส 52011515007 [G' 007]
e-mail ozung_sos@hotmail.com
hi5 http://lllpongwaralll.hi5.com






